สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ รวมถึงดัชนีการผลิตในเขตชิคาโกและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงเกินคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน หลังจากมีรายงานว่าอัตราว่างงานของประเทศในกลุ่มยูโรโซนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 98.48 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 101.29 - 97.86 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.บวก 23 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 110.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI อ่อนแรงลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่ส่งสัญญาณถึงความซบเซาของเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในเขตมิดเวสต์ ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 60.2 จุดในเดือนม.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจกรรมการผลิตในภูมิภาคดังกล่าวกำลังชะลอตัวลง
ขณะที่คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยระดับโลกเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 61.1 จุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้มีรายงานว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ของสหรัฐในเดือนพ.ย.ปรับตัวลดลง 0.7% ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดกันไว้
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ และทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะฉุดรั้งอุปสงค์พลังงานให้หดตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2554 ที่เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2.8% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 3% และจีดีพีตลอดทั้งปี 2554 ขยายตัวเพียง 1.7% ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับระดับ 3% ของปี 2553
ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากการที่ผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) มีมติให้มีการใช้สนธิสัญญาการคลังฉบับใหม่ แต่ปัจจัยบวกดังกล่าวได้ถูกสกัดด้วยรายงานของยูโรสแตทที่ระบุว่า อัตราว่างงานของประเทศกลุ่มยูโรโซนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.4% ในเดือนธ.ค.
นักลงทุนจับตาดูการรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 27 ม.ค. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.4%