สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (3 ก.พ.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้นสูงเกินคาด ขณะที่อัตราว่างงานก็ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบสามปี นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดในอิหร่านที่ทวีความรุนแรงก็หนุนให้ราคาน้ำมันยิ่งปรับตัวสูงขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับตัวขึ้น 1.48 ดอลลาร์ หรือ 1.54% ปิดที่ 97.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่ง 2.51 เซนต์ หรือ 2.24% ปิดที่ 114.58 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สี่ และเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ 8 พ.ย.
วานนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนม.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 243,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 140,000 - 150,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีที่ 8.3% ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 8.5%
ข้อมูลแรงงานทั้งสองตัวที่ออกมาดีกว่าการคาดการณ์ของตลาดช่วยจุดประกายความหวังว่า อุปสงค์น้ำมันในสหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดในโลกนั้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์พลังงานซบเซา อันเนื่องมาจากการที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ตึงเครียดที่ทวีสูงขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่านก็ผลักดันราคาน้ำมันให้ยิ่งปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่สหรัฐและยุโรปได้ประกาศใช้มาตรการรุนแรงต่างๆซึ่งพุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะโดดเดี่ยวอิหร่านและเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ถึงกระนั้น ผู้นำอิสราเอลก็ยังคงออกมาเรียกร้องให้มีการใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านที่รุนแรงยิ่งขึ้นกว่านี้อีก และเตือนว่า การปฏิบัติการทางทหารยังเป็นทางเลือกที่ชัดเจนทางเลือกหนึ่งหากการคว่ำบาตรล้มเหลว
ทั้งนี้ สหรัฐประเมินว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อิสราเอลจะโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านภายในหกเดือนข้างหน้า ซึ่งแรงกดดันด้านภูมิศาสตร์การเมืองนี้จะยังคงหนุนราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปและการเจรจาหนี้กรีซยังคงเป็นปัจจัยถ่วงตลาดและจำกัดแรงบวก