สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 ก.พ.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบร่วงลงอย่างเหนือความคาดหมายในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.05% ปิดที่ 101.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 101.86 - 101.80 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 1.3 % สู่ 118.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 117.40-119.99 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทันทีที่ EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ก.พ. ปรับตัวลง 171,000 บาร์เรล แตะระดับ 339.08 ล้านบาร์เรล ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล และบ่งชี้ว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 2.87 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ143.72 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล สู่ระดับ 232.18 ล้านบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันพุ่งขึ้น 1.2% แตะที่ 84.0% ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะลดลง 0.1%
ตลาดได้แรงหนุนมากขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เดือนก.พ.ซึ่งพุ่งขึ้นแตะระดับ 19.53 จุด จากระดับ 13.48 จุดในเดือนม.ค. สูงกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 15.0 จุด และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2553
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงข่าวที่ว่าอิหร่านสามารถเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมได้แข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันมีรายงานว่า อิหร่านจะระงับการส่งออกน้ำมันให้กับ 6 ประเทศในยุโรป และมีรายงานว่าเกิดเหตุท่อส่งน้ำมีนระเบิดในซีเรีย และเกิดเหตุการณ์ประท้วงในเยเมน จนเป็นเหตุให้การผลิตที่บ่อน้ำมันขนาดใหญ่ของเยเมนต้องหยุดชะงักลง
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศยูโรโซน หลังจากสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า เศรษฐกิจยูโรโซนหดตัวลง 0.3% ในไตรมาส 4 ปี 2554 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่กลางปี 2552 ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีรายงานว่า เศรษฐกิจเยอรมนีหดตัวลง 0.2% ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2554