สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (6 มี.ค.) เนื่องจากเศรษฐกิจยูโรโซนหดตัว ขณะที่จีนปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 2.02 ดอลลาร์ หรือ 1.89% ปิดที่ 104.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังเคลื่อนไหวระหว่าง 104.51-107.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 1.82 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 121.98 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังเคลื่อนไหวระหว่าง 121.59-124.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท เปิดเผยว่า เศรษฐกิจยุโรปได้หดตัวลงในไตรมาสสุดท้ายปี 2554 โดยหดตัวลง 0.3% ทั้งในเขตยูโรโซนและอียู โดยยูโรสแตทให้เหตุผลว่าเกิดจากการบริโภคในภาคครัวเรือน การส่งออก และการนำเข้าของยุโรปที่ลดลง ขณะเดียวกันก็มีความกังวลเรื่องวิกฤตหนี้กรีซที่ยังไม่มีความแน่นอน
ส่วนทางด้านรัฐบาลจีนก็ประกาศปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 8% ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจีนได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากที่ได้คงเป้าหมายเอาไว้ที่ 8% มาเป็นเวลา 7 ปีติดต่อกัน ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันคือ การที่สหรัฐ รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี ยอมรับข้อเสนอของอิหร่านที่ขอให้มีการหารือเรื่องนิวเคลียร์ครั้งใหม่ นอกจากนั้นอิหร่านยังจะอนุมัติให้ผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) เดินทางเยือนฐานทัพในเมืองพาร์ชิน ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นสถานที่พัฒนาอาวุธ สถานการณ์ระหว่างอิหร่านและโลกตะวันตกที่ดูเหมือนจะเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ความกังวลเรื่องภาวะอุปทานชะงักงันบรรเทาเบาบางลง ราคาน้ำมันจึงร่วงลงดังกล่าว