สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 มี.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าภาคเอกชนของสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือก.พ. และจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการทำข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 1.46 ดอลลาร์ หรือ 1. 39% ปิดที่ 106.16 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 106.55 - 104.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.พ่งขึ้น 2.14 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 124.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 121.99-124.45 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทันทีที่ ADP Employer Services รายงานว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 216,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 208,000 ตำแหน่ง ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ประสิทธิภาพด้านการผลิตในไตรมาส 4/2554 ขยายตัวได้ดีเกินคาด 0.9%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะช่วยหนุนความต้องการพลังงานให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย ขณะเดียวกันนักลงทุนก็จับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.พ. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขการจ้างงานเดือนก.พ.จะเพิ่มขึ้น 210,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 8.3%
สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงิน 33 แห่งที่ถือครองพันธบัตรของกรีซ ได้วางแผนที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการสว็อปพันธบัตร ด้วยการยอมรับการขาดทุนตามเงื่อนไขการปรับลดมูลค่าหน้าตั๋วพันธบัตรของรัฐบาลกรีซลง 53.5% ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินสาธารณะของกรีซ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 มี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 832,000 บาร์เรล สู่ระดับ 345.7 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.94 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 139.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 396,000 บาร์เรล แตะระดับ 229.5 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะร่วงลง 1.9 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.3% แตะ 83.9%