สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 มี.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบร่วงลงเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของอุปสงค์พลังงาน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1. 13% ปิดที่ 107.27 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 106.06-107.64 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ค.ขยับขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 124.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 123.76-124.80 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTT พุ่งขึ้นหลังจาก EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.16 ล้านบาร์เรล แตะที่ 346.29 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.76 ล้านบาร์เรล แตะที่ 136.58 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.21 ล้านบาร์เรล แตะที่ 226.91 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะร่วงลง 2.1 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 0.5% แตะที่ 82.2% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้น หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 2.29% เมื่อวันอังคาร ภายหลังจากซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ยืนยันว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อชดเชยภาวะอุปทานตึงตัวและเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
โดยนายอาลี อัล-ไนมี รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบีย เปิดเผยว่า ซาอุดิอาระเบียสามารถผลิตน้ำมันดิบได้ 9.9 ล้านบาร์เรล/วันในปัจจุบัน และพร้อมที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นสู่เพดานสูงสุดที่ 12.5 ล้านบาร์เรล/วัน หากจำเป็น