ราคาสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่รมว.คลังยูโรโซนเห็นพ้องขยายวงเงินในกองทุนช่วยเหลือเป็น 8 แสนล้านยูโร เพื่อป้องกันวิกฤตหนี้ลุกลาม ขณะที่การบริโภคส่วนบุคคลของสหรัฐในเดือนก.พ.เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือน นับเป็นสัญญาณบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาด NYMEX ดีดขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.6% แตะที่ 103.39 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค.ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน พุ่งขึ้น 94 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 123.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
รัฐมนตรีคลังของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ซึ่งอยู่ในระหว่างประชุมร่วมกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เห็นชอบให้มีการเพิ่มขนาดของกองทุนช่วยเหลือภูมิภาคจาก 5 แสนล้านยูโร เป็น 8 แสนล้านยูโร (1.1 ล้านล้านดอลลาร์) ประกอบไปด้วยเงินจำนวน 5 แสนล้านยูโรในกองทุน ESM ซึ่งเป็นกองทุนถาวร และอีกส่วนหนึ่งคือเงินกู้ที่ได้มีการอนุมัติให้กับกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส แล้วประมาณ 3 แสนล้านยูโรภายใต้กองทุน EFSF ซึ่งเป็นกองทุนชั่วคราว
ที่ผ่านมา นักลงทุนมีความกังวลต่อความสามารถในการปล่อยกู้ของกองทุนช่วยเหลือในภูมิภาค โดยมองว่าจำเป็นต้องมีการขยายวงเงิน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินของสเปนและอิตาลียังมีความเสี่ยง
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า การบริโภคส่วนบุคคลปรับตัวขึ้น 0.8% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% โดยการใช้จ่ายผู้บริโภคนับว่ามีความสำคัญ เพราะมีสัดส่วนถึง 70% หรือ 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลังจากวานนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 2.63 ดอลลาร์ หรือ 2.50% ปิดที่ 102.78 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากข่าวที่ว่าสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส กำลังพิจารณาเรื่องการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองฉุกเฉิน โดยมีเป้าหมายที่จะฉุดราคาน้ำมันให้ร่วงลง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ