สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) หลังจากที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งสูงเกินคาดในเดือนมี.ค. และทำสถิติขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบยูโร
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ค.บวก 24 เซนต์ หรือ 0.23% ปิดที่ 103.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ค. บวกเล็กน้อย 49 เซนต์ หรือ 0.40% ปิดที่ 122.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนมี.ค.ที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 76.2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2554 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 74.3 ในช่วงต้นเดือนมี.ค. และจากระดับ 75.3 ในเดือนที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 74.7
ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบเงินยูโร หลังจากที่รัฐมนตรีคลังของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ซึ่งอยู่ในระหว่างประชุมร่วมกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เห็นชอบให้มีการเพิ่มขนาดของกองทุนช่วยเหลือภูมิภาคจาก 5 แสนล้านยูโร เป็น 8 แสนล้านยูโร (1.1 ล้านล้านดอลลาร์) ประกอบไปด้วยเงินจำนวน 5 แสนล้านยูโรในกองทุน ESM ซึ่งเป็นกองทุนถาวร และอีกส่วนหนึ่งคือเงินกู้ที่ได้มีการอนุมัติให้กับกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส แล้วประมาณ 3 แสนล้านยูโรภายใต้กองทุน EFSF ซึ่งเป็นกองทุนชั่วคราว
นอกจากนั้นรัฐบาลสเปนยังปรับลดงบประมาณประจำปี 2555 ลง 2.7 หมื่นล้านยูโร (3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการรัดเข็มขัดครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
อีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันบวกขึ้นคือ การที่ทำเนียบขาวของสหรัฐเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะเดินหน้าใช้มาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่เพื่อกดดันการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน โดยจะมีการคว่ำบาตรธนาคารในประเทศต่างๆที่ยังคงนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน กระแสคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันจากอิหร่านอาจลดลงอีก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น