ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเมื่อคืนนี้ (30 พ.ค.) แตะระดับต่ำสุดรอบ 7 เดือนจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ ในขณะที่ปัญหาหนี้ยุโรปถ่วงตลาด และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในระดับอ่อนแอ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนก.ค.ดิ่งลง 2.94 ดอลลาร์ หรือ 3.24% ปิดที่ 87.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนก.ค.รูดลง 3.21 ดอลลาร์ หรือ 3.0% ปิดที่ 103.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วิกฤตยุโรปรุนแรงขึ้น หลังจากที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออีแกน โจนส์ปรับลดเครดิตตราสารหนี้สเปนลงเมื่อวันอังคารและธนาคารสเปนประสบปัญหาการเพิ่มทุน โดยเมื่อวานนี้ ต้นทุนการกู้ยืมของสเปนและอิตาลีพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในยุคของยูโรในการประมูลพันธบัตร
ปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันยังมาจากผลการสำรวจที่แสดงว่า พรรคฝ่ายซ้ายของกรีซซึ่งต่อต้านแผนรัดเข็มขัด ได้เสียงสนับสนุนอย่างมาก และอาจจะชนะการเลือกตั้งรอบ 2 ในเดือนหน้า ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับการที่กรีซจะออกจากยูโรโซนยังคงอยู่
แม้ว่าคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) แนะนำให้มีการตั้งสหภาพการธนาคารและพิจารณาการเพิ่มทุนธนาคารโดยตรงจากกองทุนช่วยเหลือถาวร แต่ประเทศสมาชิกยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างมาก และไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ
ยูโรรูดลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งกระตุ้นแรงเทขายในตลาดน้ำมันดิบ
ในสหรัฐ พลวัตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแรงลง ในขณะที่ข้อมูลต่างๆน่าผิดหวัง โดยหลังจากที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐแตะระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือนและราคาที่อยู่อาศัยลดลงรายเดือนติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ประจำเดือนเม.ย ลดลงอย่างไม่คาดคิด 5.5% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากในตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐ
นอกจากนี้ ความหวังที่จีนจะออกมาตรการกระตุ้นเพื่อหนุนเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ได้ยุติลง โดยมีสัญญาณที่แสดงว่า จีนอาจจะไม่ใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เท่าแผนมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนที่ใช้ในการจัดการกับวิกฤตการเงินปี 2551