สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งช่วยพยุงสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแม้สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอก็ตาม
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.56% ปิดที่ 83.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอน ขยับลง 10 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 97.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นหลังจากโอเปค) มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันเอาไว้เท่าเดิมที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมครั้งที่ 161 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเมื่อวานนี้ โดยโอเปคระบุว่าการตัดสินใจคงเพดานการผลิตในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีพลังงานของ 11 ชาติสมาชิกโอเปคได้พิจารณาเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและประเมินภาวะเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น วิกฤตหนี้ยุโรป
นอกจากนี้ โอเปคจะจับตาดูว่าวิกฤตหนี้ยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันดิบทั่วโลกอย่างไรในอนาคต
ตลาดได้แรงหนุนมากขึ้นจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ทางการสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ร่วงลง 0.3% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 6,000 ราย มาอยู่ที่ 386,000 ราย นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐในช่วงก่อนหน้านี้ได้อ่อนแรงลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ได้รับแรงกดดันในระหว่างวันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนลง 3 ขั้น สู่ระดับ Baa3 จากเดิมที่ A3 ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของสเปนพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เหนือระดับ 7% ณ ช่วงเวลาหนึ่งในตลาดพันธบัตรยุโรป