สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งกว่า 9% เมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) บรรลุข้อตกลงการใช้มาตรการต่อต้านวิกฤตหนี้สาธารณะและฟื้นฟูภาคธนาคารของยูโรโซน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 7.27 ดอลลาร์ หรือ 9.36% ปิดที่ 84.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2554
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 6.44 ดอลลาร์ ปิดที่ 97.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากที่ประชุมผู้นำอียูบรรลุข้อตกลงให้มีการนำเงินจากกองทุนฟื้นฟูถาวรของยุโรป เพื่อเพิ่มทุนให้กับธนาคารในยูโรโซนที่ประสบปัญหา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นพ้องในข้อตกลงการจัดสรรเงินมูลค่า 1.20 แสนล้านยูโร เพื่อกระตุ้นการขยายตัวและการจ้างงานในยุโรป
หลังจากนั้นไม่นาน รัฐสภาเยอรมนีมีมติอนุมัตมาตรการต่อต้านวิกฤตของสหภาพยุโรป (อียู) 2 ฉบับ ซึ่งได้แก่ มาตรการการคลังฉบับใหม่ที่ว่าด้วยการสร้างวินัยด้านงบประมาณ และมาตรการอัดฉีดเงินมูลค่า 2 แสนล้านยูโร หรือ 2.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าสู่กองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์การต่อต้านวิกฤตที่สำคัญ
นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ในอิหร่าน หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐเตรียมบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ โดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มสถาบันการเงินในประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกดดันให้อิร่านล้มเลิกโครงนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวมาตรการดังกล่าว โดยเมื่อไม่นานมานี้ พลจัตวา อาหมัด-เรซา ปูร์ดาสถาน แห่งกองกำลังภาคพื้นของกองทัพบกอิหร่าน กล่าวว่า อิหร่านจะใช้ทุกยุทธวิธี โดยเฉพาะการปิดช่องแคบฮอร์มุซ หากผลประโยชน์ของประเทศตกอยู่ในอันตราย พร้อมกับกล่าวว่า การที่ชาติตะวันตกคว่ำบาตรน้ำมันจากอิหร่าน หรือแม้แต่มาตรการใหม่ๆที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่ออิหร่าน