สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) เนื่องจากแนวโน้มอุปทานมีที่ตึงตัวอันเนื่องมาจากการเพิ่มมาตการคว่ำบาตรต่ออิหร่านและปัญหาด้านการผลิตในทะเลเหนือ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 1.18% ปิดที่ 87.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์ ปิดที่ 102.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
รายงานข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาระบุว่า ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ ได้ออกมาตรการในการคว่ำบาตรต่ออิหร่าเพิ่มเติม เพื่อพยายามกดดันให้อิหร่านยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ซึ่งเป็นโครงการที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง โดยกระแสข่าวดังกล่าวได้กลับมาเป็นปัจจัยที่สำคัญในการซื้อขายอีกครั้ง
กระทรวงการคลังและกระทวงการต่างประเทศของสหรัฐจับตาดู 11 บริษัทซึ่งอยู่ในสังกัดหน่วยงานพลาธิการของกระทรวงกลาโหมของอิหร่าน ตลอดทั้งธนาคารอีกและบริษัทชิปปิ้งอีกหลายแห่งซึ่งสหรัฐเชื่อว่าพยายามให้ความช่วยเหลืออิหร่านในการหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรจากอียู
เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าวว่า การใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมมุ่งไปที่การขัดขวางความพยายามของอิหร่านในการส่งออกน้ำมัน
นอกจากปัจจัยการคว่ำบาตรต่ออิหร่านแล้ว ภูมิภาคทะเลเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญของยุโรปและทั่วโลก กำลังเผชิญกับปัญหาด้านการผลิต และยังส่งผลให้ภาวะอุปทานตึงตัวมากขึ้นอีกด้วย
ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจ อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 7.6% แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่อ่อนแอที่สุดในรอบมากกว่า 3 ปี แต่ก็ช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนลงเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก
รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนก.ค. ร่วงลงสู่ระดับ 72 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปีนี้ จากระดับ 73.2 จุดในเดือนมิ.ย. เนื่องจากตลาดแรงงานมีสัญญาณการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย สำนักข่าวซินหัวรายงาน