สัญญาน้ำมันดิบปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) ทำสถิติปิดบวกติดต่อกัน 7 วันทำการ และยังทำสถิติปิดเหนือระดับ 90 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.เป็นต้นมา เพราะได้แรงหนุนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 2.79 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 92.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอน พุ่งขึ้น 2.64 ดอลลาร์ ปิดที่ 107.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ที่ไม่สงบในซีเรีย อิหร่าน และอิสราเอล โดยมีรายงานว่า เกิดเหตุปะทะกันในเมืองดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียเมื่อวานนี้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่กลุ่มฝ่ายค้านในซีเรียได้ก่อเหตุลอบวางระเบิด จนทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีเรียเสียชีวิตหลายคน
เหตุการณ์ความไม่สงบในเมืองดามัสกัสเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกองกำลังทหารของรัฐบาลซีเรียและกลุ่มกบฎติดอาวุธ
นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุลอบวางระเบิดรถโดยสารพร้อมด้วยนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก สถานการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่ประเด็นทางการเมืองทันที เมื่ออิสราเอลระบุว่า อิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในครั้งนี้ ซึ่งทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าอาจจะเกิดความบาดหมางกันระหว่างอิหร่านและอิสราเอล
ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและกลุ่มประเทศตะวันตกได้หนุนราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปแล้วกว่า 20% ซึ่งส่วนเป็นผลมาจากความวิตกกังวลที่ว่าสถานการณ์ที่ตึงเครียดทางการเมืองอาจจะส่งผลให้อิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือน้ำมันที่สำคัญของโลก
สำนักข่าวเมฮ์รของอิหร่านรายงานว่า นายอายาตุลเลาะห์ กรรมการบริหารขององค์การท่าเรือและการเดินเรือของอิหร่าน เปิดเผยว่า อิหร่านจะจัดให้มีการประกันเพื่อคุ้มครองเรือขนส่งสินค้าที่ผ่านน่านน้ำอิหร่าน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรทางด้านการขนส่งน้ำมันโดยสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งห้ามมิให้บริษัทประกันใน EU ให้ความคุ้มครองเรือขนส่งน้ำมันของอิหร่าน
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้แรงหนุนหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ก.ค.ลดลง 809,000 บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 377.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 500,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.82 ล้านบาร์เรล แตะที่ 205.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.62 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 123.53 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 0.7% สู่รดับ 92.0%