สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก ลดลง 70 เซนต์ แตะระดับ 87.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 12.26 น.ตามเวลาลอนดอน หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณว่าความต้องการน้ำมันในสหรัฐชะลอตัวลง
การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) เปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า สต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.9%
ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในคืนนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจจะทรงตัว ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นอาจจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินอาจจะลดลงราว 200,000 บาร์เรล นอกจากนี้ คาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจจะลดลง 0.4%
อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงคือ ความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุในรายงานการประชุมหารือประจำปีว่าด้วยจีน หรือ Article IV Consultation ว่า “สาเหตุที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายเพื่อชะลอการขยายตัวสู่ระดับที่ยั่งยืนมากขึ้น แต่วิกฤตยูโรโซนที่เลวร้ายลงนับเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน"
ขณะเดียวกันมีรายงานเมื่อวานนี้ว่า นางเฮลกา ชมิด รองผู้อำนวยการด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ได้ประชุมร่วมกับนายอาลี บาเกรี รองผู้แทนเจรจาประเด็นนิวเคลียร์ของอิหร่านที่กรุงอิสตันบูลของตุรกี เพื่อพยายามปูพื้นฐานสำหรับการประชุมรอบใหม่ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากประเทศต่างๆ ในประเด็นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน