สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) หลังจากการขยายตัวที่ช้าลงของจีดีพีสหรัฐในไตรมาสสองได้เพิ่มความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 0.83% ปิดที่ 90.13 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม สำหรับทั้งสัปดาห์ ราคาร่วงลง 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.43%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.21 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 106.47 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ตลอดสัปดาห์ ลดลง 36 เซนต์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของสหรัฐขยายตัว 1.5% ต่อปี ลดลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.0% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้รับการปรับทบทวนขึ้นเล็กน้อยจากรายงานก่อนหน้านี้ที่ 1.9%
ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 2 ถือว่าอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2554
ยิ่งไปกว่านั้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนก.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในปีนี้ที่ 72.3 จุด จากระดับ 73.2 จุดในเดือนมิ.ย. เนื่องจากตลาดแรงงานและภาวะเศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย
เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวที่ซบเซาดังกล่าว ทำให้มีนักลงทุนจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆที่เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐต้องยื่นมือเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอด้วยการประกาศมาตรการเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีข่าวว่ามีการหารืออย่างจริงจังมากขึ้นภายในเฟดว่าจะดำเนินการอย่างไรและเมื่อไร
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) อย่างใกล้ชิด หลังจากนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารได้ให้คำมั่นว่าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อป้องกันสกุลเงินยูโรจากการล่มสลาย
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาดน้ำมันเช่นกัน โดยเหตุการณ์จลาจลและความรุนแรงในซีเรีย รวมถึงความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและชาติตะวันตกยังคงสร้างแรงกดดันต่ออุปทานน้ำมันโลก