สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาด NYMEX ปรับตัวสูงขึ้น 85 เซนต์ หรือ 0.97% ปิดที่ 88.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ หรือ 0.99% ปิดที่ 105.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 6.5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 373.6 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 27 ก.ค. นับว่าร่วงลงหนักสุดในปีนี้ ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล
อย่างไรก็ดี นักลงทุนวิตกว่าอุปทานน้ำมันอาจลดลง หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่กับอิหร่านเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรที่ชาติตะวันตกบังคับใช้กับอิหร่านนั้น ส่งผลให้การผลิตน้ำมันของอิหร่านลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี
ขณะเดียวกันราคาน้ำมัน WTI ไม่สามารถปรับเพิ่มไปได้มากกว่านี้ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมเมื่อคืนนี้
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rates) ที่ระดับ 0 - 0.25% ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.) พร้อมกับยืนยันว่า เฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2557 โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เฟดระบุว่าจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหากจำเป็น
ขณะเดียวกันเฟดได้ปรับลดมุมมองทางเศรษฐกิจลงจากการประชุมครั้งก่อน โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ "ค่อนข้างชะลอตัวลง" จากที่เคยประเมินในการประชุมครั้งก่อนว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ "ขยายตัวปานกลาง"
ตอนนี้ตลาดจึงมุ่งความสนใจไปที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งจะประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันนี้