สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และพายุเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโก
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 93.67 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 91.78-94.42 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอนพุ่งขึ้น 2.45 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 112.00 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 109.13-112.56 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นหลังจากนายอิริค โรเซนเกร็น ประธานเฟดสาขาบอสตันกล่าวเมื่อวานนี้ว่า เฟดควรจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณในระดับที่ยั่งยืน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความหวังว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยหนุนอุปสงค์พลังงานในสหรัฐเพิ่มขึ้นด้วย
ตลาดยังคงรับแรงหนุนหลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการเพื่อฉุดต้นทุนการกู้ยืมของสเปนและอิตาลีให้ปรับตัวลดลง ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้นักลงทุนคาดว่าอีซีบีจะเข้าซื้อพันธบัตรรอบใหม่ เพื่อคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะหดตัวลง หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ต่ออิหร่าน และสถานการร์รุนแรงในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้ออยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะในประเทศซีเรีย
ขณะเดียวกัน ตลาดได้รับแรงหนุนหลังจากมีรายงานว่า อ่าวเม็กซิโกกำลังเผชิญกับฤดูพายุเฮอริเคน โดยเฉพาะพายุเฮอริเคนเออร์เนสโต้ ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเสียหายต่ออ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นฐานการผลิตน้ำมันที่สำคัญของสหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ส.ค. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลง 500,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.5%