สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่ใช้พลังงานมากที่สุดในโลกนั้น ยังคงมีทิศทางในด้านบวก
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาด NYMEX ปรับตัวขึ้น 90 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 94.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 92.68-94.90 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 2.22 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 116.25 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 113.49-116.72 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นหลังจาก EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ส.ค. ร่วงลง 3.7 ล้านบาร์เรล แตะที่ 366.16 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.6 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 677,000 บาร์เรล แตะระดับ 124.22 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 2.37 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 203.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันทรงตัวที่ 92.6%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เนื่องจากกิจกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตก็ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 79.3% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
รายงานของเฟดระบุว่า การผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ทะยาน 3.3% ในเดือนก.ค. และหากไม่นับรวมการผลิตยานยนต์ การผลิตในภาคการผลิตเดือนก.ค.จะขยายตัวเพียง 0.2% เทียบกับ 0.4% ในเดือนมิ.ย. ส่วนการผลิตของเหมืองแร่ขยายตัว 1.2% ส่วนการผลิตด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 1.3%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางซึ่งเป็นภูมิภาคที่อุดมไปด้วยแหล่งสำรองน้ำมันดิบ รวมทั้งข่าวการปิดซ่อมบำรุงที่บ่อน้ำมันหลักๆหลายแห่งในทะเลเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบเบรนท์