สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่าพายุเฮอริเคนไอแซคได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่าผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ยังคงคัดค้านการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 96.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 95.14-96.54 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 112.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 111.71-113.10 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า พายุไอแซคได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นพายุเฮอริเคนระดับที่ 1 เมื่อวานนี้ และได้พัดเข้าสู่อ่าวเม็กซิโกซึ่งเป็นฐานการผลิตน้ำมันในสัดส่วน 23% ของผลผลิตทั้งหมดในสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทพลังงานหลายแห่งต้องปิดแท่นขุดเจาะและโรงกลั่นน้ำมัน
ศูนย์พายุเฮอร์ริเคนของสหรัฐรายงานว่า พายุไอแซคได้เคลื่อนตัวเข้าสู่แนวชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโก ด้วยความเร็วลมสูงสุด 70 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่มีการเพิ่มขอบข่ายการเตือนภัยพายุให้ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกจนถึงเมืองคาเมรอน รัฐหลุยเซียนาของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากเกิดเหตุเพลิงใหม้ถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่โรงกลั่น Amuay ในเวเนซูเอลา ซึ่งมีกำลังการกลั่น 645,000 บาร์เรลต่อวัน ที่ได้ยืดเยื้อต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน หลังเกิดเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ผู้เสียชีวิต 48 ราย
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากการที่นางมาเรีย แวน เดอร์ โฮเวน ผู้อำนวยการ IEA เดินหน้าคัดค้านการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ โดยเธอกล่าวว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบยังไม่ใช่ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ต้องระบายน้ำมันออกจากคลัง
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นเมื่อสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ที่ระบุว่า ราคาบ้านในสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนมิ.ย. โดยดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และหากเทียบกับเดือนมิ.ย.ปี 2554 ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ เพิ่มขึ้น 0.5%
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค.ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 150,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.3%