ภาวะตลาดน้ำมันข่าวเฟดใช้ QE3 หนุนน้ำมัน WTI ปิดพุ่ง 1.30 ดอลล์

ข่าวต่างประเทศ Friday September 14, 2012 07:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) ด้วยการซื้อพันธบัตรครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 98.31 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 96.51-98.58 ดอลลาร์

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 116.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 115.45-117.48 ดอลลาร์

สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) มีมติใช้มาตรการ QE3 ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยจะดำเนินการไปจนกว่าตลาดแรงงานของสหรัฐจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น นอกจากนี้ เฟดยังมีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% และตัดสินใจขยายระยะเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษออกไปจนถึงกลางปี 2558 จากเดิมที่กำหนดไว้ถึงช่วงกลางปี 2557

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนคาดหวังว่าการใช้มาตรการ QE3 ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการส่งแรงซื้อเข้าหนุนตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นน้ำมันดิบและทองคำ

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ที่ไม่สงบในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดมีรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงชาวเยเมนได้โจมตีสถานทูตสหรัฐในเมืองซานา เมืองหลวงของเยเมน เพื่อแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาดูหมิ่นศาสนาอิสลาม

การชุมนุมประท้วงได้บานปลายกลายเป็นความรุนแรง หลังจากกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธชาวลิเบียได้บุกเข้าโจมตีสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเบงกาซีเมื่อ 2 วันก่อน และได้สังหารนายเจ คริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ เอกอัคราชทูตสหรัฐประจำลิเบีย และเจ้าหน้าที่สหรัฐอีก 3 คน ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐกล่าวว่า กลุ่มอัล-กออิดะห์อาจมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ ปัจจัยลบดังกล่าวช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น และสามารถต้านทานปัจจัยลบจากรายงานที่ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.ย.ของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15,000 ราย มาอยู่ที่ 382,000 ราย ซึ่งมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 370,000 ราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ