สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 88 เซนต์ แตะที่ 96.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 10.26 น.ตามเวลาลอนดอนในวันนี้ หลังจากญี่ปุ่นประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะช่วยหนุนอุปสงค์น้ำมันดิบในญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของบีโอเจมีมติเป็นเอกฉันท์ในการขยายวงเงินซื้อสินทรัพย์เป็น 80 ล้านล้านเยน จากเดิม 70 ล้านล้านเยน พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.1% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่ 27 เม.ย.ที่บีโอเจตัดสินใจดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม หลังจากที่บีโอเจประกาศขยายวงเงินซื้อสินทรัพย์อีก 5 ล้านล้านเยน สู่ระดับ 70 ล้านล้านเยนในการประชุมนโยบายเมื่อเดือนเม.ย.
การตัดสินใจของบีโอเจในวันนี้มีขึ้นหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเพิ่มเติมผ่านทางการซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งนักลงทุนเรียกกันว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 หรือ QE3
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันในระดับหนึ่งหลังจาก การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบประจำสัปดาห์สิ้นสุด วันที่ 14 ก.ย. พุ่งขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 135,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันพุ่งขึ้น 3.5% แตะที่ 87.8%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ซาอุดิอาระเบียวางแผนที่จะปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันให้อยู่ในระดับสูงสุด เพื่อหนุนอุปทานพลังงานโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น และจากการที่ทำเนียบขาวยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐยังคงหารือกันเกี่ยวกับการระบายน้ำมันดิบออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรอง (Strategic Petroleum Reserve - SPR)
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ย. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจจะเพิ่มขึ้น 210,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจจะเพิ่มขึ้น 820,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจจะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 1.4%