สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก ลดลง 1.45 ดอลลาร์ แตะที่ 89.92 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 13.16 น.ตามเวลาลอนดอน หลังมีรายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐเพิ่มขึ้น และหลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียระบุว่า การซื้อพันธบัตรรอบที่ 3 อาจจะไม่สามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือการจ้างงานได้
เมื่อวานนี้ การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ก.ย.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 335,000 บาร์เรล, สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 483,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 112,000 บาร์เรล
ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันของสหรัฐประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ก.ย. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 950,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 540,000 บาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.3%
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ลดลงหลังจากที่นายชาร์ลส์ พลอสเซอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าววานนี้ว่า แผนการซื้อพันธบัตรที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันครั้งใหม่ของเฟด หรือที่เรียกกันว่า QE3 นั้น แทบจะไม่ส่งผลให้การช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือช่วยลดอัตราว่างงานแต่อย่างใด พร้อมระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของเฟดด้วย
นายพลอสเซอร์ได้แสดงท่าทีคัดค้านการตัดสินใจของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ในการประชุมเมื่อต้นเดือนนี้ในการซื้อพันธบัตรวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน นอกจากนี้ ในการประชุมดังกล่าว เฟดได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25 % พร้อมขยายระยะเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษออกไปจนถึงกลางปี 2558 จากเดิมที่กำหนดไว้ถึงช่วงกลางปี 2557