สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 4.27 ดอลลาร์ หรือ 4.81% ปิดที่ 84.44 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 84.05-88.80 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 4.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนมองคาดว่า โอบามาอาจจะต้องต่อสู้อย่างมากในสภาคองเกรสเพื่อบรรลุข้อตกลงในการหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลัง หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่ายวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า ซึ่งภาวะหน้าผาการคลังจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ด้านฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนว่า หากสหรัฐล้มเหลวในการหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลังและต้องมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ สหรัฐก็มีแนวโน้มจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในปีหน้า
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากเยอรมนีเปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีหดตัวลง 1.8% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบเดือนส.ค. จากที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.5% สาเหตุหลักเป็นเพราะผลผลิตของภาคการผลิตร่วงลงถึง 2.3%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความต้องการพลังงานที่ลดน้อยลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 พ.ย.พุ่งขึ้น 1.77 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 374.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 131,000 บาร์เรล สู่ระดับ 118.1 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.88 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 202.4 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะร่วงลง 1.6 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันร่วงลง 2.3% สู่ระดับ 85.4% มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.4%