สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 87 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 85.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 84.68-86.83 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดลอนดอนพุ่งขึ้น 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 110.98 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 109.66-111.12 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 พ.ย. เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 375.9 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 2.54 ล้านบาร์เรล แตะที่ 115.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 440,000 บาร์เรล แตะที่ 201.9 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.6 % สู่ 86.0%
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้น 1.85 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 350,000 บาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.2% ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 พ.ย. พุ่งสูงขึ้น 78,000 ราย มาอยู่ที่ 439,000 ราย โดยปัจจัยที่ทำให้จำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ที่พัดถล่มแถบอีสท์โคสท์ของสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์ในตลาดแรงงานของสหรัฐจะย่ำแย่ลงอีกในอนาคตอันใกล้นี้
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร 17 ประเทศ หดตัวลง 0.1% ในไตรมาส 3 หลังจากที่หดตัวลง 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งตัวเลขจีดีพีที่หดตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกันสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยูโรโซนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว
นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์รุนแรงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มนักรบในฉนวนกาซ่า หลังจากการเสียชีวิตของนายอาห์เหม็ด อัล-จาบารี ผู้นำสูงสุดของฮามาส โดยฝีมือของกองกำลังทหารอิสราเอล