สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.73% ปิดที่ 87.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) เดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 0.94% ปิดที่ 110.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันหลังจากนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลยืนยันว่า อิสราเอลได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานตึงตัว
แต่สัญญาน้ำมันดิบเริ่มดีดตัวขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 41,000 ราย แตะที่ 410,000 รายในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 17 พ.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ขณะที่มาร์กิตเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นแตะ 52.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน เทียบกับข้อมูล PMI ขั้นสุดท้ายในเดือนต.ค.ที่ 51.0 โดยตัวเลขที่สูงกว่า 50 ในเดือนพ.ย.บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐมีการขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 พ.ย. ร่วงลง 1.5 ล้านบาร์เรล เนื่องจากการนำเข้าน้ำมันดิบและความต้องการจากกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวลดลง
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซิน และสต็อกน้ำมันกลั่น ร่วงลง 1.5 ล้านบาร์เรล และ 2.7 ล้านบาร์เรลตามลำดับ
นักลงทุนจับตาดูการประชุมรมว.คลังกลุ่มยูโรโซนในวันจันทร์ที่ 26 พ.ย.นี้ หลังจากที่ประชุมไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกรีซในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งนักลงทุนกังวลว่าหากกรีซไม่ได้รับเงินกู้ 4.4 หมื่นล้านยูโรก็อาจทำให้เศรษฐกิจกรีซล่มสลายภายในสิ้นปีนี้และอาจจะบีบให้กรีซต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน
*ตลาดน้ำมันนิวยอร์กจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 22 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) และจะปิดทำการซื้อขายตามปกติในวันศุกร์ที่ 23 พ.ย.