สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 89.09 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 88.66-90.33 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 31 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 110.92 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 110.60-112.33 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นหลังจากเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายในเดือนพ.ย.ของจีน ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 50.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 49.5 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนเริ่มดีดตัวขึ้น และมีแนวโน้มที่จะทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มของเศรษฐกิจจีนปีนี้
ก่อนหน้านี้ สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เผยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นแตะ 50.6 จาก 50.2 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยตัวเลขที่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตของจีนมีการขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากมีรายงานว่าสเปนได้ขอความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (อียู) มูลค่า 3.7 หมื่นล้านยูโร เพื่อให้ความช่วยเหลือธนาคารสเปน 4 แห่งที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวันหลังจากสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 49.5 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 51.7 ในเดือนต.ค. บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐกลับเข้าสู่ภาวะหดตัวอีกครั้งหลังจากที่ขยายตัวติดต่อกันสองเดือน เนื่องจากดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 พ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 150,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 950,000 บาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6%