สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 0.98% ปิดที่ 86.73 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้นทั้งหมด 80 เซนต์ หรือ 0.93% ในสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) เดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.24 ดอลลาร์ หรือ 1.15% แตะที่ 109.15 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวลงทั้งหมด 2.13 ดอลลาร์ หรือ 1.99% ในสัปดาห์นี้ หลังร่วงลงติดต่อกันสองสัปดาห์
อุปสงค์น้ำมันคาดว่าจะปรับตัวขึ้นหลังข้อมูลภาคการผลิตของจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้นำมันรายใหญ่อันดับสองของโลก ขยายตัวรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554
เอชเอสบีซี โฮลดิงส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นแตะ 50.9 โดยตัวเลขที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตมีการขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อุปทานทานจากภูมิภาคดังกล่าวอาจสะดุดลง
ทั้งนี้ ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านและกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ของอียิปต์เมื่อวานนี้ ขณะที่อิหร่านและประเทศตะวันตกยังคงมีความตึงเครียดในเรื่องโครงการนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน เงินสกุลดอลลาร์ได้ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ อันเนื่องมาจากความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยการอ่อนตัวของเงินสกุลดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันซึ่งซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 1.1% ในเดือนพ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.3% และเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 78.4% ในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 77.7% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 78.0%
แต่อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในวงจำกัด หลังการเจรจาในเรื่องหน้าผาการคลังระหว่างทำเนียบขาวและรัฐสภาสหรัฐไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด สำนักข่าวซินหัวรายงาน