สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 89.51 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 87.81-89.90 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 1.52 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 110.36 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 108.74-110.48 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากมีรายงานว่าอุปสงค์พลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน ของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่าสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ธ.ค.ลดลง 964,000 บาร์เรล แตะที่ 371.65 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะร่วงลง 1.1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.09 ล้านบาร์เรล แตะที่ 116.97 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.21 ล้านบาร์เรล แตะที่ 219.32 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันพุ่งขึ้น 1.1% แตะที่ 91.5% ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะลดลง 0.1%
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นเมื่อสถาบัน Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 102.4 จากระดับ 101.4 ในเดือนพ.ย. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เยอรมนี ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดในยุโรป ยังคงปรับตัวดีกว่าประเทศอื่นๆในยูโรโซน ท่ามกลางวิกฤตหนี้ภูมิภาค
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่ายขนาด 6 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐอาจจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ยอมรับข้อตกลงการขึ้นภาษีประชาชนที่มีรายได้กว่า 400,000 ดอลลาร์