สัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 17 เซนต์ หรือ 0.18% ปิดที่ 93.09 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้นทั้งหมด 2.29 ดอลลาร์ หรือ 2.52% ในสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) เดือนก.พ.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 83 เซนต์ หรือ 0.74% แตะที่ 111.31 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ปรับตัวขึ้น 69 เซนต์ หรือ 0.62% ในสัปดาห์นี้
ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ที่ระดับ 7.8% ซึ่งบ่งชี้ถึงสัญญาณการขยายตัวในตลาดแรงงานสหรัฐ และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในช่วงก่อนหน้านี้
ในขณะเดียวกัน ยอดสต๊อกน้ำมันหรัฐลดลง 11.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 359.9 ล้านบาร์เรล เนื่องจากการนำเข้าที่ลดลงอย่างมากในสัปดาห์ดังกล่าว และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าสต๊อกน้ำมันจะยังคงมีปริมาณสูง แต่การปรับตัวลงอย่างมากเกินคาดส่งผลให้ราคาดีดตัวขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า อียูได้ยื่นข้อเสนอในเรื่องเวลาและสถานที่สำหรับการเจรจารอบต่อไปในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากอิหร่าน โดยความตึงเครียดในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านถือเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาน้ำมัน
แต่อย่างไรก็ดี ความวิตกกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะลดมาตรการกระตุ้นลงในปีนี้ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดน้ำมัน โดยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินในเดือนธันวาคมบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความวิตกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มงบดุลบัญชีของเฟดเป็น 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน