สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.37% ปิดที่ 97.03 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 94.97-97.09 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 77 เซนต์ ปิดที่ 118.13 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 117.54-119.07 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ได้แรงหนุนหลังจากมีรายงานว่าพายุหิมะได้พัดถล่มพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ส่งผลให้มีหิมะหนาถึง 1 เมตร และทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐ
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า ยอดส่งออกเดือนม.ค.ของจีนขยายตัว 25% และยอดนำเข้าเดือนม.ค.ปรับขึ้น 28.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าต่างประเทศลดลงมาอยู่ที่ 2.92 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. จาก 3.16 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน พร้อมกับจับตาดูการประชุมรัฐมนตรีคลังจาก 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ท่ามกลางวิกฤตหนี้ภูมิภาคที่กลับมาเป็นประเด็นร้อนในตลาดการเงินอีกครั้งในระยะนี้
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนวันพุธนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นราว 2.5-2.9 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลงราว 500,000-800,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจทรงตัว และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 0.2%