สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.55% ปิดที่ 93.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ ปิดที่ 109.42 ดอลลาร์/บาร์เรล
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 มี.ค.ปรับตัวลง 10,000 ราย แตะที่ 332,000 ราย ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 350,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอยู่ในระยะฟื้นตัว
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐในไตรมาส 4/2555 ลดลง 1.8% มาอยู่ที่ระดับ 1.1042 แสนล้านดอลลาร์ ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.128 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงกดดันเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐอาจจะซบเซาลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 มี.ค. พุ่งขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 384 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 3.6 ล้านบาร์เรล แตะที่ 224.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีทติ้งออยล์และเชื้อเพลิงดีเซล เพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล แตะที่ 120.4 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันร่วงลง 1.2% แตะที่ 81% มากกว่าที่คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.1%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยลบจากการที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดคาดการณ์ปริมาณการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2556 ลง 60,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ระดับ 90.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนในปีนี้ คาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 820,000 บาร์เรลต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 0.9%