สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดลบ 23 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 96.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดลอนดอนเพิ่มขึ้น 13 เซนต์ ปิดที่ 104.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเยนและยูโรส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำ เนื่องจากสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดนิวยอร์กมีการซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งเมื่อดอลลาร์แข็งค่าก็จะทำให้มูลค่าของสัญญาปรับตัวสูงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 พ.ค. เพิ่มขึ้น 230,000 บาร์เรล อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.81 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 650,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 910,000 บาร์เรล สวนทางกับที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 450,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดีดตัว 2.6% แตะ 87.0% จากที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6%
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงไม่มากนัก เพราะตลาดได้รับแรงหนุนหลังจาก ระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 4 พ.ค.ปรับตัวลง 4,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 323,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 335,000 ราย
ทั้งนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานปรับตัวลดลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ส่งผลให้จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานยืนอยู่ระดับต่ำกว่า 350,000 ราย ซึ่งเป็นระดับที่นักวิเคราะห์มองว่าสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงาน
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งในเดือนเม.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง เนื่องจากสต็อกสินค้ารถยนต์และเครื่องจักรปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ฟื้นตัวขึ้นในปีนี้