สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วโลกลงสู่ระดับ 2.2% ในปีนี้ จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมาว่า จะขยายตัว 2.4% เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมถึงจีนและบราซิล ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 มิ.ย.พุ่งขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล แตะที่ 393.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่ง 2.7 ล้านบาร์เรล แตะที่ 221.5 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 150,000 บาร์เรล
ความวิตกกังวลในเรื่องภาวะชะลอตัวของอุปสงค์พลังงาน ได้สกัดปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่ายอดการส่งออกน้ำมันของประเทศตะวันออกกลางอาจจะลดน้อยลงเนื่องจากความไม่สงบทางการเมือง โดยมีรายงานว่าเกิดเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงที่จตุรัสทัคซิมเมืองอิสตัลบูล ประเทศตุรกี หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ใช้แก๊ซน้ำตาและน้ำแรงดันสูง ยิงใส่ผู้ชุมนุมประท้วงที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลยาวนานถึง 2 สัปดาห์
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทยวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 มิ.ย. ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงสู่ระดับ 345,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 346,000 ราย และจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค. ซึ่งคาดว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.4%