สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 98.24 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 97.57-99.01 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ ปิดที่ 106.12 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 105.45-106.59 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 มิ.ย.เพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล แตะ 394.1 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่าจะลดลง 650,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 500,000 บาร์เรล สู่ระดับ 121.6 ล้านบาร์เรล ผิดจากที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 450,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น 200,000 บาร์เรล แตะ 221.7 ล้านบาร์เรล จากที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 350,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.8% แตะ 89.3% จากที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากเบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณในด้านลบต่อตลาด ด้วยการแถลงต่อผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมว่า เฟดจะเริ่มชะลอโครงการซื้อพันธบัตร หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปลายปีนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้
เบอร์นันเก้กล่าวว่า หากข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดจะได้รับในวันข้างหน้านั้นบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะชะลอโครงการซื้อพันธบัตร หรือชะลอกการทำ QE ภายในปีนี้ และหากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงออกมาสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ เฟดก็จะยังคงลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตรไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปีหน้า และจะสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตรประมาณกลางปีหน้า