สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 1.43 ดอลลาร์ ปิดที่ 97.99 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 96.07-98.28 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ ปิดที่ 103.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 101.63-103.71 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนมิ.ย.ขยายตัวแตะ 50.9 จาก 49.0 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตสหรัฐมีการขยายตัว
ทั้งนี้ กิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนมิ.ย.กลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังจากที่ดัชนีภาคการผลิตหดตัวลงในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับแต่เดือนพ.ย.2555 หรือในรอบ 6 เดือน
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 0.5% สู่ระดับ 8.749 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่กระเตื้องขึ้น
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวขึ้นเนื่องจากความกังวลที่ว่า สถานการณ์รุนแรงในอียิปต์และสงครามกลางเมืองในซีเรีย อาจจะส่งผลกระทบต่อการลำเลียงน้ำมันในตะวันออกกลาง
นักลงทุนจับตาดูสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 มิ.ย.ในวันพุธนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะร่วงลง 2.7 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.2%