ราคาน้ำมันปิดทำการวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) พุ่งขึ้นท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง หลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา รายงานตัวเลขการใช้จ่ายเดือนพฤศจิกายนของผู้บริโภคแกร่งขึ้น เสริมสร้างความหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะรับมือกับวิกฤตการณ์ที่ลุกลามจากตลาดสินเชื่อได้ และอุปสงค์น้ำมันและก๊าซจะเพิ่มขึ้น
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับแต่ปี 2547 และเหนือคาดการณ์ที่จะเพิ่มขึ้น 0.7%
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดทะยานขึ้น 2.25 ดอลลาร์สหรัฐแตะระดับ 93.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.บวกขึ้น 5.19 เซนต์ ปิดที่ 2.3795 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ขยับขึ้น 1.96 เซนต์ ปิดที่ 2.6091 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ.ทะยานขึ้น 1.58 ดอลลาร์ ปิดที่ 92.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทอม โคลซ่า หัวหน้านักวิเคราะห์และนักเขียนประจำออยล์ ไพรซ์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายที่บางเบาทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นมาก ขณะที่ ปีเตอร์ เบาเทล ประธานบริษัท คาเมรอน ฮันโนเวอร์ กล่าวว่า นักลงทุนส่วนมากไม่เข้าทำการซื้อขาย และคนอื่นๆก็เคลื่อนไหวน้อยลง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากดาวโจนส์ที่ปิดแกร่งคืนวานนี้ และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเล็กน้อย นักลงทุนพลังงานมักพิจารณาตลาดหุ้นเป็นกระจกสะท้อนสภาพเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันที่ซื้อและขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ก็เป็นที่ดึงดูดใจของนักลงทุนต่างชาติเมื่อเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ฤดี ภวสิริพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: ruedee@infoquest.co.th--