ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ม.ค.) หลังจากที่ราคาน้ำมันปิดร่วงลงตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนยังวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ขณะเดียวกันนักลงทุนบางกลุ่มก็เริ่มมีความหวังว่า การประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ล บุชจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างได้ผล
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดเพิ่มขึ้น 44 เซนต์ แตะระดับ 90.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่วิ่งขึ้นไปอยู่เหนือระดับ 91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดขยับขึ้น 0.39 เซนต์ ปิดที่ 2.5074 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 3.66 เซนต์ ปิดที่ 2.3034 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 48 เซนต์ ปิดที่ระดับ 89.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นักลงทุนกำลังจับตาความเคลื่อนไหวในตลาดน้ำมัน ซึ่งราคายังคงแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลว่า มาตรการปรับลดภาษีซึ่งมีมูลค่า 1.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ประธานาธิบดีบุชได้ประกาศออกมานี้จะแข็งแกร่งพอที่จะช่วยยับยั้งเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้เข้าสู่ภาวะชะลอตัวได้หรือไม่
นายเจมส์ คอร์ดิเยร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทลิเบอร์ตี้ เทรดดิ้ง กรุ๊ป ในมลรัฐฟลอริด้ากล่าวว่า "เหตุผลสำคัญที่บุชต้องประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านภาษีเป็นเพราะ ขณะนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกำลังตกอยู่ในภาวะย่ำแย่"
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดน้ำมันจะถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ตลาดยังมีปัจจัยด้านอื่นๆที่ดันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นจากการคาดการณ์ว่าประเทศอื่นๆทั่วโลกจะมีอุปสงค์น้ำมันเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกระทรวงพลังงานสหรัฐต่างคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า อุปสงค์ภายในประเทศจะชะลอตัวลงในปีนี้ ขณะที่อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะยังคงมีอยู่อย่างแข็งแกร่ง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล โทร.0-2253-5050 อีเมล์: orasa@infoquest.co.th--