ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลง 25 เซนต์เมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนส่งแรงขายทำกำไรเข้าตลาด หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่าน้ำมันเบนซินสำรองปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันลงบ้าง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange ) ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวลง 25 เซนต์ ปิดที่ 72.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 6.31 เซนต์ ปิดที่ 2.3063 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวลง 2.3 เซนต์ ปิดที่ 2.1008 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 96 เซนต์ ปิดที่ 75.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันเบนซินในสหรัฐเมื่อกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า น้ำมันเบนซินสำรองในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 6 ก.ค. พุ่งขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 205.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยับขึ้นเพียง 640,000 บาร์เรล
ขณะที่น้ำมันกลั่นสำรองซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และเชื้อเพลิงดีเซล เพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล สู่ระดับ 122.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม น้ำมันดิบสำรองร่วงลง 1.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 352.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพล์ดาวโจนส์ นิวส์ไวร์คาดการณ์ว่า น้ำมันดิบสำรองจะขยับลงเพียง 600,000 บาร์เรล
ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 90.2% ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% ขณะที่ยอดนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 31,000 บาร์เรล สู่ระดับ 1.423 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยอดนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 753,000 บาร์เรล สู่ระดับ 10.025 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานรายงานว่าความต้องการน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 1.4% แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินลดลง 173,000 บาร์เรลต่อวัน
นายแจ็ค ฮันเตอร์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากบริษัทเอฟซี สโตน กรุ๊ป กล่าวว่า "รายงานน้ำมันสำรองครั้งล่าสุดค่อนข้างผันผวน กล่าวคือ น้ำมันเบนซินสำรองปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ยอดนำเข้าน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐพึ่งพาน้ำมันเบนซินนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น และคาดว่าจะมากขึ้นอีกไปจนถึงช่วงปลายฤดูร้อนนี้"
"ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งแสดงว่าสหรัฐยังคงเผชิญภาวะพลังงานตึงตัว โดยเฉพาะในฤดูการขับขี่ยานยนต์ในหน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการน้ำมันพุ่งขึ้นสูงสุด"
"แต่ที่น่าจับตาดูมากที่สุดก็คือความเคลื่อนไหวของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ หลังจากเฮดจ์ฟันด์ได้ส่งแรงซื้อเก็งกำไรเข้าตลาดอย่างหนาแน่นเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน" นายฮันเตอร์กล่าว
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--