ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น 79 เซนต์เมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนส่งแรงซื้อเข้ามาในตลาดก่อนที่การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะเริ่มขึ้นในวันอังคารที่ 11 ก.ย. ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากมีรายงานว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายครั้งที่ท่อส่งก๊าซของบริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลเม็กซิโก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 79 เซนต์ ปิดที่ 77.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 2.84 เซนต์ ปิดที่ 2.1716 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 0.78 เซนต์ ปิดที่ 1.9786 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 41 เซนต์ ปิดที่ 75.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้นเกือบ 40% จากขาวที่ว่าเกิดระเบิดขึ้นหลายครั้งที่ท่อส่งก๊าซในเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่ ทั้งนี้ เม็กซิโกเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของสหรัฐ โดยในปี 2549 สหรัฐนำเข้าก๊าซจากเม็กซิโกในปริมาณ 12.7 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 0.3% ของยอดนำเข้าในปีนั้น
นักลงทุนจับตาดูรายงานน้ำมันสำรองซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดการณ์ว่า น้ำมันดิบสำรองจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล น้ำมันเบนซินสำรองจะลดลง 700,000 บาร์เรล และน้ำมันกลั่นสำรองจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.1%
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กลุ่มโอเปคจะคงเพดานการผลิตน้ำมันไว้เท่าเดิมในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าโอเปคจะถูกกดดันให้เพิ่มเพดานการผลิตถ้าราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง
นายจอห์น คิงส์ตัน นักวิเคราะห์จากบริษัทแพลทส์ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานในเครือแมคกรอว์-ฮิลล์ กล่าวว่า การที่ฤดูการขับขี่รถยนต์ในหน้าร้อนของสหรัฐได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งทำให้ยอดการใช้น้ำมันเบนซินและเชื้อเพลิงดีเซลปรับตัวลดลงนั้น อาจทำให้กลุ่มโอเปคยังไม่ตัดสินใจเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันซึ่งปัจจุบันยืนอยู่ที่ 25.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมที่กรุงเวียนนาวันอังคารที่ 11 ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม นายคิงส์ตันคาดว่า โอเปคซึ่งปัจจุบันผลิตน้ำมันได้ในอัตราส่วน 40% ของผลผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะสมดุลมากขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ในตลาดซับไพรม์ของสหรัฐ เพราะหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็จะทำให้ความต้องการน้ำมันลดลงด้วย
ด้านนายฮัจจาตุลเลาะห์ กานีมิฟาร์ด นักวิเคราะห์จากเนชั่นแนล อิหร่าน ออยล์ คาดว่า หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเข้าใกล้ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้สมาชิกโอเปคประมาณ 10 ประเทศ ซึ่งไม่นับรวมแองโกลาและอิรัก ตัดสินใจเพิ่มการผลิตน้ำมันเป็น 30.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก่อนการประชุมโอเปคครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค.ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--