ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นเหนือระดับ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อคืนนี้ (20 ก.ย.) โดยราคาทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ในระหว่างวัน เพราะได้รับอิทธิพลจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงและความกังวลเกี่ยวกับพายุเฮอริเคนที่อาจพัดเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.39 ดอลลาร์ ปิดที่ 83.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ที่ 83.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระหว่างวัน
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 4.17 เซนต์ ปิดที่ 2.1351 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.ดีดขึ้น 1.56 เซนต์ ปิดที่ 2.2609 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนทะยานขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.8 % สู่ 79.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายเอดิสัน อาร์มสตรอง นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอฟเอส เอ็นเนอร์จี ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำซื้อสัญญาน้ำมันดิบเดือนต.ค.ด้วยหลายเหตุผล ซึ่งรวมถึงการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงมากถึง 0.50% และข่าวที่ว่าอาจมีพายุไซโคลนก่อนตัวขึ้นในอ่าวเม็กซิโก
ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า อาจจะมีพายุไซโคลนเขตร้อนก่อตัวขึ้นในอ่าวเม็กซิโก โดยคาดว่าพายุจะพัดขึ้นบกในบริเวณระหว่างภาคตะวันออกเฉียงใตของรัฐหลุยเซียนาและฝั่งตะวันตกของเขตแพนแฮนเดิลของรัฐฟลอริดาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยพายุอาจทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากพัดผ่านน้ำอุ่นในแถบกัลฟ์โคสต์
นอกจากนี้ ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า พายุโซนร้อน"ไอโว"ได้ทวีความรุนแรงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 โดยพายุมีศูนย์กลางอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรบาจา แคลิฟอร์เนียราว 950 กิโลเมตร (570 ไมล์) ซึ่งทางศูนย์เฮอริเคนฯคาดว่า พายุลูกนี้จะมุ่งหน้าเข้าพัดถล่มพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อจากนั้นจะค่อยๆอ่อนกำลังลงและพัดวกกลับเข้าสู่คาบสมุทรบาจาในเวลาต่อมา
ขณะที่สำนักงานจัดการแร่ธาตุของสหรัฐรายงานว่า ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีได้มีการปิดการผลิตน้ำมันดิบในแถบกัลฟ์โคสต์ประมาณ 27.7 % ของอัตราการผลิตที่ระดับ 1.3 ล้าน บาร์เรลต่อวัน และมีการปิดการผลิตก๊าซธรรมชาติไปแล้วประมาณ 16.7 % ของปริมาณการผลิตประมาณ 7.7 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ด้านนายแอนโทนี ฮาล์ฟ นักวิเคราะห์จากบริษัทฟีแมท ยูเอสเอกล่าวว่า "การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงทำให้สัญญาน้ำมับดิบมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น นักลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศจึงกระหน่ำซื้อสัญญาน้ำมันดิบเดือนต.ค.อย่างคับคั่ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่"
ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงนั้น มาจากรายงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐที่ระบุว่า น้ำมันดิบสำรองในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 14 ก.ย.ทรุดตัวลง 3.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 318.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 2.0 ล้านบาร์เรล
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--