ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 1 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลด้านการผลิตที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงอาจทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันปรับตัวลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 93.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกเมื่อคืนนี้ที่ 96.24 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนธ.ค.ดีดขึ้น 0.62 เซนต์ ปิดที่ 2.3432 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนธ.ค.รูดลง 1.7 เซนต์ ปิดที่ 2.5123 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
นายสตีเฟ่น บริกส์ นักวิเคราะห์จากธนาคารโซไซเต เจนเนอรัล กล่าวว่า นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ไอเอสเอ็ม) รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนต.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 50.9 จุด จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 52.0 จุด ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงแตะระดับ 51.5 จุด เนื่องจากภาวะสินเชื่อตึงตัวและการทรุดตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ได้ฉุดภาคการผลิตอ่อนแอลงด้วย
"ความรู้สึกของนักลงทุนในขณะนี้ค่อนข้างสับสน โดยมีนักลงทุนบางกลุ่มมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นทางออกที่ดีที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งมองว่าการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้มีเสถียรภาพหรือแม้แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย น่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่าในการควบคุมเงินเฟ้อ" นายบริกส์กล่าว
เมื่อวันพุธที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 4.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 94.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50%
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเฟดกล่าวว่า ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเฟดมองว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงมีอยู่และจะต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างระมัดระวัง
ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น มาจากรายงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐที่ว่า น้ำมันดิบสำรองในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 19 ต.ค.ร่วงลง 3.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 312.7 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล
ขณะที่น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 205,000 บาร์เรล ส่วนน้ำมันกลั่นสำรองซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงดีเซลและน้ำมันฮีทติ้วออยล์เพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล ตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 655,000 บาร์เรล
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--