ทีมนักวิเคราะห์ของบริษัท โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ ภายใต้การนำของนายอาร์จัน เอ็น. เมอร์ตี เปิดเผยในรายงานลงวันที่ 5 พ.ค.ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งแตะระดับ 150-200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า อันเป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันที่ไม่สามารถขยายตัวได้ทันกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษที่ 16.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2544 ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันสำรองโลกถูกใช้ไปเกือบหมด ในขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างไนจีเรีย อิรัก และเวเนซูเอล่า ก็ผลิตน้ำมันได้น้อยลง
โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเวสท์ เท็กซัส สำหรับปี 2551-2554 โดยราคาน้ำมันปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 108 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมที่ 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล, ปี 2552 เป็น 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนปี 2553 และ 2554 เพิ่มเป็น 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายเมอร์ตีคาดการณ์ไว้ตั้งแต่เดือนมี.ค.2548 ว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดยเขาระบุในรายงานว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 50-105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในปี 2552
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 56.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2548, 66.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2549 และ 72.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2550 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--