ผลสำรวจกลุ่มผู้บริหารในอุตสาหกรรมพลังงานซึ่งจัดทำโดย KPMG LLP ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาและตรวจสอบภาษีและบัญชีรายใหญ่ของสหรัฐ บ่งชี้ว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดว่าราคาน้ำมันจะลดลงอย่างมากภายในปลายปีนี้ แม้ราคาน้ำมันจะทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 124 ดอลลาร์/บาร์เรลในสัปดาห์นี้ก็ตาม
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า 55% ของผู้บริหาร 372 คนในอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สเชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบจะร่วงลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ 21% คาดว่าราคาน้ำมันจะยังคงเคลื่อนไหวในช่วง 101-110 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 15% คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในช่วง 111-120% ขณะที่มีเพียง 9% ที่คาดว่าราคาจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังบ่งชี้ว่า 44% ของผู้บริหารที่ตอบรับการสำรวจกล่าวว่า ทางบริษัทวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านทุนในอุตสาหกรรมการสำรวจและผลิตน้ำมันอีก 10% ในปีหน้า
บิล คิมเบิล ผู้อำนวยการ KPMG กล่าวว่า "การที่บริษัทพลังงานในสหรัฐวางแผนที่จะจะเพิ่มอัตราการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ซสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริหารของบริษัทเหล่านี้มีความกังวลเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานอย่างมาก ขณะที่สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีที่แล้ว และสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินหลักๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มเฮดจ์ฟันด์เข้ามาเก็งกำไรในตลาดน้ำมัน"
นอกจากนี้ ตลาดพลังงานทั่วโลกยังได้รับอิทธิพลจากความต้องการน้ำมันในจีนและอินเดียที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าทั่วโลกอาจเกิดภาวะอุปทานตึงตัว โดย 63% ของผู้บริหารที่ตอบรับการสำรวจในครั้งนี้เชื่อว่า ความต้องการน้ำมันในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อาร์จัน เอ็น. เมอร์ตี หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งแตะระดับ 150-200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันที่ไม่สามารถขยายตัวได้ทันกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำนักข่าวเอพีรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--