ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 131 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากมีข่าวการคุกคามแหล่งผลิตน้ำมันในไนจีเรีย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากกังวลว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดน้อยลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 2.18 ดอลลาร์ หรือ 1.69% ปิดที่ 131.03 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 125.96-131.58 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 2.51 เซนต์ ปิดที่ 3.8243 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 6.46 เซนต์ ปิดที่ 3.4476 ดอลลาร์แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.ปิดพุ่งขึ้น 2.62 ดอลลาร์ แตะระดับ 130.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายสตีเฟน ชอล์ค นักวิเคราะห์จากบริษัทวิลลาโนวาในรัฐเพนซิวาเนีย กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากมีรายงานว่า กลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ในไนจีเรียวางแผนลอบวางระเบิดรถยนต์ในวันพฤหัสบดี เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีที่นายอูมารู ยาร์อาดัว ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไนจีเรีย
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ ยืนยันว่า กลุ่มกบฏแย่งแยกดินแดนได้เข้าโจมตีท่อส่งน้ำมันของเชลล์ในพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำไนเจอร์ ส่งผลให้น้ำมันรั่วไหลและทำให้ต้องระงับการผลิตเพื่อซ่อมแซมรอยรั่ว อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ โฆษกของรอยัล ดัทช์ เชลล์แถลงว่า ทางบริษัทสามารถควบคุมการรั่วไหลของน้ำมันไว้ได้แล้ว แต่ทางบริษัทยังคงประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ต่อการจัดส่งน้ำมันประเภทบอนนีไลท์ต่อไป
ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของไนจีเรียอาจลดลงสู่ระดับ 1.75 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ค.
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันพฤหัสบดี โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 100,000 บาร์เรล และอัตราการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.5%
มอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า ราคาพลังงานได้พุ่งสูงขึ้นจนถึงขั้นวิกฤติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมัน และอาจส่งผลเกี่ยวเนื่องให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้
"จากการคำนวณของเราพบว่า ราคาน้ำมันที่ระดับ 133 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นสัดส่วนที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อระดับอุปสงค์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2523 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นล่าสุดจนส่งผลให้มีการยอมปล่อยราคาเชื้อเพลิงในอินเดียและจีน อาจเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในการเริ่มโยกย้ายฐานการลงทุนในตลาดน้ำมันไปยังตลาดหุ้นมากขึ้น" มอร์แกน สแตนลีย์กล่าว
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--