ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: ข่าวสหรัฐเล็งแทรกแซงดอลล์ ฉุดราคาน้ำมันร่วงปิดที่ $134.35

          ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 4.19 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (9 มิ.ย.) หลังจากราคาทะยานขึ้นกว่า 10 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน โดยปัจจัยที่ฉุดราคาน้ำมันร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้มาจากรายงานที่ว่า รมว.คลังสหรัฐอาจเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อหนุนดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 4.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 134.35 ดอลลาร์/บาร์เรล 
          ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 9.7 เซนต์ ปิดที่ 3.877 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.ค.รูดลง 15.4 เซนต์ ปิดที่ 3.394 ดอลลาร์/แกลลอน
          ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 3.78 ดอลลาร์ ปิดที่ 133.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
          นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบอย่างหนักหน่วงหลังจากนายเฮนรี พอลสัน รวม.คลังสหรัฐกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า เขาไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่ากระทรวงการคลังอาจเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อกระตุ้นดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าวช่วยหนุนดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร และกดดันราคาน้ำมันร่วงลง
          นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติที่ระบุว่า ดัชนียอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการ ขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 6.3% แตะระดับ 88.2 จุดในเดือน เม.ย. จากระดับ 83.0 จุด ในเดือนมี.ค. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.5%
          นายไอย้าด มาดานี รมว.กระทรวงสารนิเทศของซาอุดิอาระเบียเปิดเผยว่า รัฐบาลซาอุดิอาระเบียจะเรียกร้องให้มีการจัดการประชุมระหว่างประเทศผู้ผลิตกับประเทศผู้ใช้น้ำมัน เพื่อหารือถึงกรณีที่ว่าราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน 
          นอกจากนี้ นายมาดานีกล่าวว่า ซาอุดิอาระเบียจะร่วมมือกับกลุ่มโอเปคเพื่อรับประกันว่าน้ำมันในตลาดโลกจะมีเพียงพอต่อความต้องการ 
          นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ในอิสราเอลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเมื่อวันศุกร์ หลังจากนายชาอูล โมฟัซ รองนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ขู่ว่าจะโจมตีอิหร่าน หากอิหร่านไม่ยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งคำขู่ดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจเกิดความขัดแย้งรุนแรงในตะวันออกกลาง