ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (11 มิ.ย.) เพราะได้รับอิทธิพลจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงเกินคาดของสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 5.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 136.38 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 138.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 14.65 เซนต์ ปิดที่ 3.4658 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.ค.ดีดขึ้น 16.24 เซนต์ ปิดที่ 3.9748 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 4 ดอลลาร์ ปิดที่ 135.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
เจมส์ คอร์ดิเยร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทลิเบอร์ตี้ เทรดดิ้ง ในรัฐฟลอริด้า กล่าวว่า "ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงทำให้สัญญาน้ำมันดิบที่ซื้อขายในรูปสกุลดอลลาร์มีราคาถูกลง นักลงทุนจึงทุ่มซื้ออย่างคับคั่ง สถานการณ์ตลาดน้ำมันในขณะนี้อ่อนไหวไปตามทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานตึงตัวมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงเกินความคาดหมาย"
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 6 มิ.ย. ร่วงลง 4.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 302.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดว่าจะลดลงเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 114.0 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 210.1 ล้านบาร์เรล แต่ยังต่ำกว่าที่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการกลั่นน้ำมันลดลง 1.1% แตะระดับ 88.6%
"นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงฤดูร้อนนี้ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง หากดอกเบี้ยในยุโรปสูงขึ้นจะส่งผลกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ทันที กระแสคาดการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองว่าดอลลาร์จะร่วงลงอีก จึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนาแน่น" คอร์ดิเยร์กล่าว
กาย คารูโซ ผู้อำนวยการสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐกล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอีกในปี 2552 เนื่องจากภาวะอุปทานตึงตัว
ส่วนอีกปัจจัยที่หนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาจากรายงานที่ว่า จีนได้นำเข้าน้ำมันดิบ 75.97 ล้านตันในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พุ่งขึ้น 12.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี และข่าวที่ว่าบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ ประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ในการขนส่งน้ำมันที่ไนจีเรีย หลังจากกลุ่มกบฏก่อเหตุโจมตีท่อส่งน้ำมัน
ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--