มาร์ค ฟาเบอร์ กูรูการลงทุนชื่อดังระดับโลกและเป็นผู้ตีพิมพ์นิตยสารการลงทุน Gloom, Boom and Doom Report คาดการณ์ว่า ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงน้ำมัน จะปรับตัวลดลง และจะกดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงด้วย เนื่องจากภาคการเงินยังคงถดถอยและเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวลง
"สินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มผันผวนและเปราะบาง เนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ ความต้องการที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ผลประกอบการบริษัทเอกชนร่วงลง และตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้อาจทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์" ฟาเบอร์กล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก
"ผมคาดว่าความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์จะลดลง หลังจากราคาวัตถุดิบ รวมถึง น้ำมัน ข้าวโพด ทองแดง และทองคำ พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวขึ้น" ฟาเบอร์กล่าว
นอกจากนี้ ฟาเบอร์กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว แต่ข้อมูลที่ปรากฎในปัจจุบันกลับ"บิดเบือน"ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เข้าสู่ภาวะถดอย นักเศรษฐศาสตร์ควรเข้าใจว่าเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นนั้น กำลังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค"
"ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะเข้าสู่ภาวะ 'ปรับฐานลง' หลังจากทะยานขึ้นแข็งแกร่งมาตลอด 7 ปี และคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะลดลงในอีก 6 เดือนจนถึง 1 ปีข้างหน้า" ฟาเบอร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 97 เซนต์ ปิดที่ 140.97 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 143.33 ดอลลาร์ หลังจากสำนักข่าวเอบีซี นิวส์ รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (เพนทากอน) ว่า การซ้อมรบครั้งใหญ่ของอิสราเอลเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า อิสราเอลมีแสนยานุภาพสูงพอที่จะโจมตีฐานที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--