ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 5 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (8 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากที่ทุ่มซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคับคั่งเมื่อหลายวันก่อน และเนื่องจากความกังวลที่ว่าราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นและรายงานที่ว่าพายุเฮอร์ริเคนเบอร์ธาอ่อนกำลังลง นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 5.33 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 136.04 ดอลลาร์ หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 135.14 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 14.94 เซนต์ ปิดที่ 3.8202 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 11.96 เซนต์ ปิดที่ 3.3631 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 5.44 ดอลลาร์ ปิดที่ 136.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงเช้าราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า พายุเฮอร์ริเคน"เบอร์ธา ซึ่งเป็นเฮอร์ริเคนลูกแรกของฤดูมรสุมในมหาสมุทรแอตแลนติกในปีนี้ ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นพายุระดับ 3 หลังจาก่อตัวขึ้นทางตะวันออกของหมู่เกาะลีวาร์ด
แต่ต่อมาในช่วงบ่ายราคาน้ำมันเริ่มชะลอตัวลงเมื่อมีรายงานว่า พายุเฮอร์ริเคนเบอร์ธาได้ลดระดับความรุนแรงลงจนกลายเป็นพายุ ระดับ 2 ก่อนที่จะพัดมุ่งหน้าไปยังเบอร์มิวดา โดยคาดว่าพายุลูกนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตพลังงานในอ่าวเม็กซิโก
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 4 ก.ค. ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจพุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 200,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจ เพิ่มขึ้น 0.2%
เอดิสัน อาร์มสตรอง นักวิเคราะห์จากบริษัทเทรดดิ้ง เอนเนอร์จี กล่าวว่า "นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าราคาน้ำมันที่แพงขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและทำให้สุขภาพของเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ลง จึงตัดสินใจเทขายทำกำไรหลังจากที่ได้ทุ่มซื้อสัญญาน้ำมันดิบไว้เป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้"
"อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าตลาดกำลังเข้าสู่ระยะพักฐาน และราคาปรับตัวลดลงเนื่องจากการขายทำกำไร สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจประเมินได้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นหรือร่วงลงต่อไปอีก" จิม ริทเทอร์บุช นักวิเคราะห์จากบริษัทริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอทส์กล่าว
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงส่งผลให้ผู้นำกลุ่ม G8 หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาหารือในที่ประชุม โดยเมื่อวานนี้ที่ประชุมมีความเห็นเหมือนกันว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันและอาหาร หลังจากราคาสินค้าทั้ง 2 ประเภทพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังเห็นพ้องให้มีการสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--