ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 115 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) หลังจากมีรางานว่าพายุโซนร้อน"กุสตาฟ" ก่อตัวขึ้นในทะเลคาริบเบียน และการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันเบนซินรายสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.45% ปิดที่ 115.11 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 113.68-116.06 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.ย.ดีดขึ้น 2.03 เซนต์ หรือ 0.65% ปิดที่ 3.1514 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 1.37 เซนต์ ปิดที่ 2.8823 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ ปิดที่ 114.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า พายุกุสตาฟซึ่งเป็นพายุโซนร้อนลูกที่ 7 ในฤดูเฮอริเคนปีนี้ ได้ก่อตัวขึ้นในทะเลแคริบเบียนเมื่อคืนนี้ ด้วยความเร็วลมเกือบ 60 ไมล์/ชั่วโมง และคาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นพายุเฮอริเคนก่อนที่จะพัดเข้าสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของไฮติในเร็วๆนี้
ฟิล ฟลายน์ นักวิเคราะห์จากเอลารอน เทรดดิ้ง ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า "ความวิตกกังวลที่ว่าพายุกุสตาฟจะสร้างความเสียหายต่อแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าสธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโกเป็นสาเหตุสำคัญที่หนุนราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น โดยราคาปรับตัวขึ้นแม้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นก็ตาม"
นอกจากนี้ ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐรายงานว่า พายุโซนร้อน"เฟย์"ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่นแล้ว หลังจากเข้าพัดถล่ม 4 พื้นที่ในรัฐฟลอริด้าเมื่อวานนี้ แต่พื้นที่ดังกล่าวอาจเผชิญปัญหาฝนตกหนักและน้ำท่วมต่อเนื่องไปอีก 7 วัน
พายุเฟย์ ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนในรัฐฟลอริด้าไปอย่างน้อย 11 ราย และในจอร์เจีย 1 รายนั้น ได้พัดกระหน่ำพื้นที่ทั่วรัฐฟลอริด้ามาเป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนสูงสุด 76 เซนติเมตรและทำให้เกิดน้ำท่วมท้องถนนและบ้านเรือน และยังสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ทางการเกษตรและระบบสาธารณูปโภคหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชได้ประกาศให้พื้นที่ในรัฐฟลอริดาเป็นเขตภัยพิบัติ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันพุธ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น 0.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะถือเป็นการลดลง 5 สัปดาห์ติดต่อกัน และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.3%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูสถานการณ์ในรัสเซียและจอร์เจีย โดยประธานาธิบดีมิคาอิล ซาคาชวิลี แห่งจอร์เจียให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ว่าการสู้รบระหว่างจอร์เจียและรัสเซียสร้างความเสียหายต่อจอร์เจียเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ มีรายงานว่าสภาสูงรัสเซียมีมติเป็นเอกฉันท์ หนุนแคว้นอับคาเซียและเซาท์ ออสเซเทีย ให้เป็นอิสระจากการปกครอง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--