ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 2.56 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้หากพายุโซนร้อน "กุสตาฟ" สร้างความเสียหายต่อฐานการผลิตน้ำมันและก๊าสธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 115.59 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นไปแตะระดับ 120.50 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 7.91 เซนต์ ปิดที่ 3.1826 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 4.58 ดอลลาร์ ปิดที่ 3.0214 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 2.05 ดอลลาร์ ปิดที่ 114.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
จิม ริทเทอร์บุช นักวิเคราะห์และประธานบริษัทริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอทส์ ในรัฐอิลลินอยส์ กล่าวว่า ในช่วงเช้านั้นราคาน้ำมันทะยานขึ้นเหนือระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐเตือนว่า พายุโซนร้อน "กุสตาฟ" ซึ่งเคลื่อนตัวผ่านประเทศไฮติและทำให้เกิดฝนตกอย่างหนัก อาจมีกำลังแรงขึ้นจนกลายเป็นเฮอริเคนระดับ 3 หรือรุนแรงกว่านั้นเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโกในสุดสัปดาห์นี้
บริษัทสำรวจน้ำมันหลายแห่งเริ่มย้ายฐานแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่อ่าวเม็กซิโกเพื่อรับมือกับพายุกุสตาฟที่จ่อคิวรุนแรงเป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดที่เข้ากระหน่ำพื้นที่ดังกล่าวในรอบ 3 ปี
บริษัททรานโอเซียน อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งรายใหญ่ที่สุดในโลกเริ่มระงับการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ขณะที่เดสติน สิงเลตัน โฆษกของบริษัทรอยัล ดัชต์ เชลล์ กล่าวว่า บริษัทได้อพยพพนักงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการขุดเจาะน้ำมันออกจากพื้นที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
"รายงานดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนกระหน่ำซื้อสัญญาน้ำมันดิบและหนุนราคาทะยานขึ้นเหนือระดับ 120 ดอลลาร์ในช่วงเช้า เนื่องจากอ่าวเม็กซิโกเป็นฐานการผลิตน้ำมันในสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดในสหรัฐ แต่ต่อมาราคาเริ่มอ่อนตัวลงเมื่อเกิดกระแสคาดการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้หากพายุโซนร้อนกุสตาฟสร้างความเสียหายต่อฐานการผลิตน้ำมันและก๊าสธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก" ริทเทอร์บุชกล่าว
ปัจจุบัน คลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ของสหรัฐมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล แต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐ ประกาศให้ปรับเพิ่มคลังน้ำมันสำรองประเภทดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจมตีของผู้ก่อการร้าย
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา สหรัฐได้ระบายน้ำมันออกจากคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์เพียง 2 ครั้งเท่านั้น เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์พลังงาน โดยครั้งหลังสุดได้ระบายน้ำมันออกมาใช้ราว 700 ล้านบาร์เรลเมื่อครั้งที่สหรัฐเผชิญภัยพิบัติจากพายุเฮอริเคน "แคทรินา"
กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิของสหรัฐออกประกาศเตือนให้ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกเตรียมพร้อมรับมือกับพายุกุสตาฟ โดยเฉพาะชาวเมืองนิว ออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ซึ่งคาดว่าเป็นเส้นทางที่พายุอาจเคลื่อนตัวพัดผ่าน หลังจากเมืองนิวออร์ลีนส์ถูกพายุเฮอริเคนแคทรีนาพัดถล่มจนได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--